วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุป บทที่ 3 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรม (Behavioral Theories)



การเรียนรู้
          การเรียนรู้ตามแนวคิดกลุ่มทฤษฎีพฤติกรรมนิยม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซึ่งเป็นผลอันเนื่องมาจากประสบการที่คนมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม

กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism หรือ S-R Associationism)
          เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้า (Stimulus) กับการตอบสนอง (Response)  เป็นพฤติกรรมที่แสดงออก สามารถสังเกตจากภายนอกได้ ในแนวความคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยมเชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมมีฐานความคิดที่สำคัญ คือ 1.) พฤติกรรมทุกอย่างเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้ และสามารถสังเกตได้ 2.) พฤติกรมทุกชนิดเป็นผลรวมของการเรียนเป็นอิสระหลายอย่าง 3.) การเสริมแรง (Reinforcement) ช่วยให้พฤติกรรมเกิดขึ้นได้ (สุรางค์, 2544)

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค (Classical Conditioning Theory)
          แนวคิดของพาฟลอฟ (Pavlov)
          นักสรีรวิทยาชาวรัสเซีย เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงและได้รับรางวัลโนเบล จากงานวิจัยเรื่อง สรีรวิทยาการย่อยอาหารเมื่อปี ค.. 1904 ในการวิจัยเกี่ยวกับการย่อยอาหารของสุนัข พาฟลอฟสังเกตเห็นสุนัขจีมีน้ำลายไหลออกมาเมื่อผู้ทดลองนำอาหารมาให้ พาฟลอฟสนใจพฤติกรรมน้ำลายไหลของสุนัขก่อนได้รับประทานอาหารมาก จึงได้คิดทำการศึกษาเรื่องนี้ ซึ่งพาฟลอฟได้ทำการทดลองต่อไปนี้





สุนัขน้ำลายไหลออกมา เมื่อผู้ทดลองนำอาหารมาให้




สั่นกระดิ่งก่อน และให้อาหารหรือผงเนื้อ ควบคู่กันหลายๆครั้ง




เมื่อหยุดให้อาหาร แต่สั่นกระดิ่งเพียงอย่างเดียว
สุนัขก็ยังคงน้ำลายไหล สุนัขจึงเกิดการเรียนรู้








การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov)


          
           พาฟลอฟได้สรุปว่า ที่สุนัขน้ำลายไหล เมื่อได้ยินเสียงสั่นกระดิ่ง แสดงว่าสนุขเกิดการเรียนรู้ เพราะสามารถเชื่อโยงเสียงสั่นกระดิ่ง กับการให้อาหาร

              แนวคิดของวัตสัน (Watson)
นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้ริเริ่ม คำศัพท์ Behaviorism  เพราะมีความคิดเห็นว่าจิตวิทยาเป็นการศึกษาที่เป็นวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงนั้น ควรจะศึกษาพฤติกรรมที่สามารถวัดและสังเกตได้อย่างเด่นชัดเท่านั้น และควรเป็นการศึกษาที่เป็นปรนัย มากกว่า เป็นอัตวิสัย ที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิดของคน
          วัตสันได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคกับมนุษย์ เรื่อง ความกลัววัตสันได้ทำการทดลองกับทารกอายุประมาณ 8-9 เดือน ชื่อ อัลเบิร์ต (Albert)  โดยได้ทำการทดลองดังนี้



ในธรรมชาติของเด็กเล็ก จะกลัวเสียงดังที่เกิดขึ้นกะทันหัน



ปล่อยให้อัลเบิร์ตเล่นกับหนู ในขณะที่อัลเบิร์ตเอื้อมมือจะไปจับหนู ก็ใช้ค้อนเคาะแผ่นเหล็กให้เสียงดังขึ้น

การทดลองของวัตสัน (Watson)

ให้เสียงดังกล่าวเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข (UCS) ซึ่งจะก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ต้องการวางเงื่อนไข (UCR)  คือ “ความกลัว” วัตสันได้ทำการทดลองเช่นนี้ถึงเจ็ดครั้ง ในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ปรากฏว่าหลังจากนั้นอัลเบิร์ตเห็นแต่เพียงหนู ก็แสดงความกลัวทันที

ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงื่อนไขแบบลงมือกระทำ (Operant Conditioning Theory)
                แนวคิดของธอร์นไดค์ (Thorndike)
                ธอร์นไดค์ เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งจิตวิทยาการศึกษา และเป็นผู้คิดทฤษฎีที่เชื่อว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยงระหว่าง สิ่งเร้า กับ การตอบสนอง ที่เรียกว่า S – R โมเดล อีกทั้งให้ความสำคัญกับการเสริมแรง (Reinforcement) ที่ทำให้เกิดการเชื่อมโยง และการตอบสนองเพิ่มขึ้น โดยเน้นการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษ ซึ่งธอร์นไดค์ได้ทำการทดลองดังต่อไปนี้

ธอร์นไดค์ได้จับแมวที่กำลังหิวในไว้ในกรงมีสลักปิดไว้ และนำจานอาหารวางไว้นอกกรง 



แมวจะเดินไป เดินมาในกล่อง พยายามหาทางออกข้างเพื่อไปกินอาหาร ในขณะนั้นก็บังเอิญไปจับถูกสลัก



และสามารถเปิดประตูออกมากินอาหารได้

          และจากการสังเกตครั้งต่อๆ มาแมวใช้เวลาน้อยลงในการหาทางออกมากินอาหาร ซึ่งธอร์นไดค์เรียกการเรียนรู้ของแมว ว่าเป็นการเรียนรู้แบบลองผิดลองถูก (Trial and Error) ไม่ใช่การใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา และเชื่อว่าการลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนกว่าค้นพบรูปแบบการตอบสนองที่ทำให้เกิดความพึงพอใจที่สุด ธอร์นไดค์ได้สรุปเป็นกฎแห่งการเรียนรู้ ไว้ดังนี้
1.      กฎแห่งเหตุผล (Low of Effect) สิ่งเร้าไดที่มีการกระตุ้นให้มีการตอบสนองแล้ว ทำให้ผู้เรียนได้รับผลที่น่าพึงพอใจจากการกระทำนั้นแล้ว จะเป็นผลที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนั้นซ้ำๆ
2.      กฎแห่งความพร้อม (Low of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีเมื่อผู้เรียนมีความพร้อมทั้งร่ายงกาย และจิตใจ
3.      กฎแห่งการฝึกหัด (Low of Exercise) การฝึกหัดหรือการกระทำบ่อยๆ จะทำให้การเรียนรู้นั้นคงทนถาวร แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ทำซ้ำๆบ่อยๆ การเรียนรู้นั้นอาจไม่คงทนถาวร และในที่สุดอาจลืมไปได้
4.       กฎแห่งการใช้ (Low  of Use and Disuse) การเรียนรู้จะเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบ สนอง ถ้าได้มีการนำไปใช้บ่อยๆ การเรียนรู้นั้นจะมีความคงทนถาวร หากไม่มีการนำมาใช้บ่อยๆ ก็อาจเกิดการลืมได้

          แนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner)
เบอร์รัส สกินเนอร์ ชาวอเมริกัน นักจิตวิทยาที่เป็นผู้คิดทฤษฎีการเรียนรู้ ที่เรียกว่า “Operant Conditioning” หรือ “Instrumental Conditioning” ทฤษฎีของสกินเนอร์ยังสอดคล้องกับธอร์นไดค์เกี่ยวกับการเสริมแรงเป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้ แต่จะแตกต่างกันที่ว่า สกินเนอร์จะคิดว่าการเชื่อมโยงที่เกิดขึ้น ระหว่างรางวัลกับการตอบสนองไม่ใช่สิ่งเร้ากับการตอบสนองตามแนวความคิดของธอร์นไดค์ สกินเนอร์ได้ทำการทดลองดังนี้



การทดลองโดยปล่อยหนูที่หิวอาหาร เข้าไปใน Skinner Box ภายในกล่องมีคาน 
ซึ่งเมื่อหนูกดแล้วจะมีอาหารให้กินพร้อมกับเงื่อนไขที่มีเสียงดังแกรก

การทดลองของสกินเนอร์ (Skinner)

การเสริมแรง (Reinforcement)
สกินเนอร์กล่าวว่า พฤติกรรมส่วนมากของมนุษย์เป็นพฤติกรรมประเภท  Behavior ซึ่งสิ่งที่มีชีวิต Organism ทั้งคนและสัตว์เป็นผู้เริ่มที่จะกระทำ Operate ต่อสิ่งแวดล้อมของตนเอง ดังนั้นการเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า Instrumental Conditioning และการเรียนรู้แบบ Operant Conditioning นั้น ผู้เรียนต้องลงมือกระทำเองเปรียบดังเช่นหนูต้องกดคานจึงจะได้รับอาหาร มิใช่เป็นการแสดงพฤติกรรมเนื่องมาจากสิ่งเร้าภายนอกมากระตุ้น เหมือนกับการเรียนรู้แบบ Classical Conditioning  สกินเนอร์ได้แบ่งการเสริมแรงเป็น 2 ประเภท คือ เสริมแรงทางบวก และ เสริมแรงทางลบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น